เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ก.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ สัจธรรมๆ ธรรมโอสถไง ธรรมโอสถสำหรับรักษาหัวใจของเรา ถ้ารักษาหัวใจ ร่างกายของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเรา แต่เวลาหน้าที่การงานของเราแล้วประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน ถ้าจิตใจหลงกับโลกมันก็ว่ามีความสุขไง ถ้าจิตใจของคนไม่หลงกับโลกนะ เราจะประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน แต่ชีวิตนี้มันมีค่ามาก 

ชีวิตนี้เวลามันพลัดพรากไปแล้วมันไปไหน ทุกคนจะสงสัยนะ นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ ภพชาติมีจริงหรือไม่ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติตั้งแต่พระเวชสันดรไป จุตูปปาตญาณ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันยังต้องเวียนต่อไป อาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ธรรมะย่อมชนะอธรรม

แต่การที่ว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ เวลาพระโพธิสัตว์ เวลาประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมาทิ่มมาตำ ความทุกข์ความยากในการดำรงชีวิต ความทุกข์ความยากนะ เพราะศาสนายังไม่มีไง ถ้าศาสนายังไม่มีก็แล้วแต่คน วนิพก วนิพกเขามีคนให้ มีศรัทธาความเชื่อเขาให้ของเขาไปประสานั้น 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มีเดชนะ เมืองไหนเขามีโรคภัยไข้เจ็บ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสวดมนต์ ฝนเป็นทิพย์ตกชะล้างซากศพนั้นออกไป ให้โรคภัยไข้เจ็บจากเมืองนั้นหายทั้งเมือง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม คนเห็นคุณงามความดีอย่างนั้น คนมีศรัทธาความเชื่อในอย่างนั้น ถึงจะอยากแสวงหา อยากทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนา มีบุญกุศลขึ้นมา ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยไง 

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะย่อมชนะอธรรมๆ แต่ธรรมะชนะอธรรมได้ ธรรมะที่ทำมามันต้องมีสติมีปัญญา ต้องมีสติปัญญา ต้องมีจุดยืนของเรา เราทำคุณงามความดีของเราไง ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าความดีของเรา ความดีมันคืออะไร ที่โยมแสวงหา ที่โยมอุตส่าห์ขวนขวายกันมาเสียสละคืออะไร นี่คือสร้างบุญกุศลกับหัวใจของเราไง อำนาจวาสนาบารมีของเรานะ

อยู่บ้านอยู่เรือน ทุกคนบอกเราไม่มีเวลาทั้งนั้นน่ะ เวลาเราไม่มี เราอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เรามีความสุขของเราอยู่แล้ว ความสุขอยู่แล้ว เวลาขยะ ขยะเวลาใส่ถังขยะมันเต็มถังของมัน นี่ก็เหมือนกัน ความคิด ความปรุง ความแต่ง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันล้นหัวใจๆ เราไม่มีเวลาๆ

แต่ที่เราขวนขวาย ขวนขวายมาเพราะเรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศรัทธาความเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสียสละทาน

เวลาเข้าพรรษาๆ หลวงตาท่านบอกว่า อย่างน้อยก็ให้ได้ทำบุญตักบาตรวันละ ๑ องค์ก็ยังดี อย่างน้อย ว่าอย่างน้อย อย่างน้อย นี่คืออะไรล่ะ ที่เราทำไปๆ ของเราทั้งนั้น ของของเรา ของเราที่เราแสวงหาทำเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเราไม่ทำสิ่งใด ดูสิ เวลาเราทุกข์เรายากในหัวใจของเรามันหมักหมมอยู่นี่ มันมีทางออกอย่างไรล่ะ

แต่ถ้าเราได้ทำบุญกุศลนะ นี่ของเรา

๑. สิ่งที่เราเสียสละไปนั่นบุญกุศลของเราแล้ว

๒. ได้เห็นสมณะ

การได้เห็นสมณะนะ ถ้าคนมีสติปัญญามันสะเทือนหัวใจนะ ภิกษุๆ เขาอยู่กันอย่างไร เขาบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เขาอยู่กันอย่างไร ทำไมเขามีความทุกข์ความยากในหัวใจหรือไม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ภิกษุๆ เป็นสาวกสาวกะ เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเป็นสมณะๆ ถ้ามันมีสติมีปัญญามันสะเทือนใจไง ถ้ามันสะเทือนใจ มันได้สติได้ปัญญา มันได้ความคิดไง ถ้ามันได้คิดขึ้นมา มันพลิกแพลงหัวใจของเราไง

ดูสิ เวลาคนหลงผิด คนเขาหลงผิด ลูกเต้าเราหลงผิดไป พ่อแม่อบรมสั่งสอน อบรมสั่งสอนกว่าเขาจะเห็นถูกต้องดีงาม นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราหลงผิด หลงผิดว่า ชีวิตนี้มันจะอยู่ค้ำฟ้า ชีวิตเราเมื่อไหร่ก็ได้ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เวลาไปเห็นสมณะ เห็นสมณะมันสะเทือนหัวใจ นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศลนี่ก็เป็นสมบัติของเราอันหนึ่ง เราได้เห็นสมณะมันก็เตือนสติเราอีกอันหนึ่ง แล้วถ้าเราฟังธรรมๆ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครแสดงธรรมๆ ก็แล้วแต่ในกึ่งพุทธกาลนี้ก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าแสดงเป็นความจริงนะ ถ้ามันเป็นความจริง เวลาแสดงธรรมะไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะชัง ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แต่ถ้าคนยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ธรรมะๆ ก็เพื่อประโยชน์กับเราไง ประโยชน์กับคนแสดงไง เพื่อประโยชน์อันนั้นไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่ผู้พูด ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น แต่เวลาฟังธรรมๆ เพราะอะไร เพราะท่านเป็นสมณะ ท่านเป็นนักรบ ท่านพยายามขวนขวายของท่าน เวลาท่านแสดงธรรมออกมาดูเชาวน์ปัญญาของท่านว่าท่านมีวุฒิภาวะมากน้อยแค่ไหน เราฟังธรรมเพื่อเป็นประโยชน์กับเราไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันสะเทือนหัวใจนะ 

เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ กิเลสมันอยู่จิตใต้สำนึกนั้น ถ้าแสดงธรรมๆ ต้องทิ่มเข้าไปตรงกลางใจดำอันนั้นน่ะ ทีนี้เวลาแสดงธรรมๆ ขึ้นมา ไอ้เราเป็นโรคใช่ไหม เวลาแสดงธรรมๆ ก็เจริญพรๆ ยกยอปอปั้นกันอย่างนั้นน่ะ มันเรื่องของโลกธรรม ๘ มันไม่ใช่สัจธรรม

ถ้าสัจธรรมมันจะทิ่มเข้าไปกลางหัวใจนั้นน่ะ เวลาทิ่มเข้าไปกลางหัวใจ จิตใต้สำนึกเรานั่นน่ะ มันสะดุ้งนะ ขนพองสยองเกล้า นั่นน่ะธรรมโอสถๆ ธรรมโอสถถ้ามันถึงธรรม ถึงธรรม ถึงวินัย ถึงหัวใจของเรา นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แสดงอย่างนั้นไง ไม่ใช่ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง  พวกเขา พวกเรา ไอ้พวกเขา พวกเรานั่นมันเป็นเรื่องของโลกธรรม ๘

แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันเป็นแบบนี้ ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะย่อมชนะอธรรม มันย่อมชนะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ในใจของเรานี่แหละ แต่ในใจของเรา ดูสิ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศึกษารู้ไปทุกเรื่อง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซาบซึ้ง เห็นบุญเห็นคุณทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่เป็นความจริง

ยา ฉลากยา ฉลากยามันบอกคุณสมบัติของยาใช่ไหม ใครๆ เวลาจะรักษาโรคภัยไข้เจ็บเขาต้องกินยานั้น นี่ก็เหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ! น่ารื่นรมย์นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นน้ำใสสะอาด จืดสนิท เย็นดี เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ในที่สงบสงัด ในป่าในเขา ในที่สงบสงัด นี่เป็นสิ่งดีงามทั้งนั้นน่ะ เพราะในปัจจุบันนี้ สภาพแวดล้อม เราก็อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีๆ ใครจะมีบ้านมีเรือนก็อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ 

นี่ไง แล้วหัวใจเรามันอยู่ท่ามกลางไฟ ท่ามกลางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ท่ามกลางกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ถ้าเราจะฝึกหัดตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ฟังธรรมๆ ก็เพื่อเหตุนี้ไง หน้าที่การงานก็ทำ

เวลาหลวงปู่ฝั้นท่านพูด ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ ไง ในเมื่อมนุษย์เกิดมามันต้องมีลมหายใจ เวลาคลอดออกมา หมอต้องตบตูดครั้งแรกเลย ให้มันหายใจเอง หายใจเองแล้วให้ร้องออกมา นี่ก็เหมือนกัน เราต้องหายใจของเราเอง นี่โดยอำนาจวาสนา โดยภพโดยชาติ โดยความเป็นมนุษย์ โดยความเป็นสัตว์ โดยความเป็นสิ่งที่มีชีวิต

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มีสติปัญญากำหนดลมหายใจของเรา เราก็ต้องหายใจอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีสติปัญญาระลึกล่ะ ถ้าระลึกขึ้นมา หัวใจมันก็เข้มแข็งขึ้นมาไง ไอ้นี่เวลาคิดก็คิดแต่กิเลสมันป้อนให้ กิเลสมันยุแหย่ไง เวลาคิดก็คิดโดยจินตนาการโดยกิเลส โดยความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วจิตมันอยู่ไหนล่ะ คิดตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คิดสิ่งที่สมุทัยมันป้อนให้ทั้งนั้นเลย 

ถ้ามีสติกับลมหายใจ เกาะมันนั่นแหละ เดี๋ยวตัวตนชัดขึ้นมา ตัวเราเองจะเป็นอิสระขึ้นมา พออิสระขึ้นมา เอ๊อะ! เราคิดเรื่องอะไร เราคิดทำไม ทำไมมัทุกข์มันยากขนาดนี้ล่ะ เวลาคิด คิดเรื่องงาน เรื่องงานทำหน้าที่การงานก็คิดสิ พอเสร็จแล้วก็วางไว้นั่น ทำไมต้องเอามาเผาลนตลอดล่ะ รักษาหัวใจเราไว้ดีกว่า รักษาหัวใจเราให้มันสดชื่น เข้มแข็ง จิตใจที่อบอุ่น เวลาจะไปคิดสิ่งใด จะทำสิ่งใดมันก็พอได้

จริง จริงอยู่ ในเมื่อมันเป็นภาระรับผิดชอบ ไอ้เรื่องภาระๆ มันกดถ่วงหัวใจทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาคนมีสติปัญญา ภาระก็คือภาระไง ถ้าคนมีสติปัญญานะ ภาระก็เวลาจะใช้จะสอย เวลาจะทำ เราก็จะยกขึ้นมา เราจะยก เราจะดูแลของเรา แต่เวลาจะก็ต้องพักก่อน พอพักเสร็จแล้วเดี๋ยวภาระนั้นก็เป็นสิ่งที่เราแก้ไขเราได้ไง 

นี่ไง ธรรมะย่อมชนะอธรรมไง ชนะอะไร ชนะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไง มันโลภ มันอยากได้ มันปรารถนา มันต้องการให้สมใจมันไง แล้วเราเองเราก็ชักฟืนออก เอาแค่ที่พออยู่พอกิน เอาที่พอเท่านั้นน่ะ แล้วสิ่งที่มันได้มา ได้มาตรงไหน ได้มานี่ไง ได้มาตรงที่เสียสละไง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่มีลาภสักการะมากที่สุดคือพระสีวลี พระสีวลีเขาทำอย่างไรถึงมีลาภสักการะมาขนาดนั้นน่ะ ไปศึกษาประวัติพระสีวลีสิ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าอำนาจวาสนามันแป็นจริงของมันอย่างนั้น เราจะปฏิเสธอย่างไรมันก็มา ปฏิเสธอย่างไร ดูสิ เวลาคนไม่ต้องการสิ่งใดเลย เขามีแต่เพิ่มพูนพูนผลของเขา ไอ้เราอยากได้อยากดีของเรา มันขาดแคลนมาตลอดเลย มันขาดแคลนตลอด เราก็ทำของเรา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราทำมาอย่างนี้เอง ครูบาอาจารย์ของเราท่านแสวงหา แสวงหาความประหยัดมัธยัสถ์ ธรรมะจะเกิดในที่ขาดแคลนๆ ครูบาอาจารย์ของเรา ธรรมะมันจะเกิด คนเราเห็นวิกฤติขึ้นมาแล้วมันจะแก้ไขเพื่อเอาชีวิตรอดของมันไง 

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งใดมันไม่มี ปัญญามันแก้ไขได้ ปัญญามันพลิกแพลงมันแก้ไขใช้สอยได้ เอาชีวิตรอดได้ เพราะเห็นคุณค่าในการประพฤติปฏิบัติสำคัญกว่า ในการปฏิบัติสำคัญกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่สำคัญกว่า ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ไปเดือดร้อนอย่างนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ใครๆ ก็แย่งกันเลยนะ แย่งกันเข้าไปใกล้ชิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากได้บุญกุศล อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนั้นไง ถ้าอยากเป็นอย่างนั้น นั่นน่ะระดับของทาน ใครทำสิ่งนั้นมาๆ เวลาเรามาทำหน้าที่การงานของเรามันประสบความสำเร็จ

ไม่ใช่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนโง่ ประสบความสำเร็จก็ปัดมันทิ้ง ไม่ยอมรับ ประสบความสำเร็จก็ประสบความสำเร็จ แต่มีสติ สิ่งนี้ได้มาด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยอำนาจวาสนา เราได้แล้วเราจะใช้สอยอย่างไร เราจะทำประโยชน์อะไร เราจะไม่ทำให้ปัจจัยเครื่องอาศัยนี้ทำให้เราเสียนิสัย ทำให้เรากลายเป็นคนมักง่าย ทำให้เราเป็นคนไม่มีสติปัญญา มันจะมาตัดทอน ความโลภมันปิดกั้นหัวใจหมด 

ถ้ามีสติปัญญามันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันได้ขึ้นมาตามความจริงก็เป็นความจริงอันนั้น แล้วใครทำสิ่งนั้นมานี่ได้ตามความเป็นจริงนะ แต่โลกเวลาแข่งขันๆ แข่งขันด้วยเล่ห์ด้วยกล แต่เวลาเป็นทางธรรมๆ ความสุจริต ความเป็นจริง ความเป็นธรรมอันนั้น ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าถึงที่สุดแล้วความสุจริตอันนั้นมันไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องกังวลเลย แต่ความทุจริต ความทุจริตนั้นสิ เห็นไหม

นี่พูดถึงว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่สิ่งที่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เป็นข้าศึกที่สุดก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่แหละ สิ่งที่เป็นข้าศึกกับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่เป็นข้าศึกกับธรรมๆ เวลาเป็นข้าศึกกับธรรม ธรรมะปฏิรูป เวลาเป็นธรรมะขึ้นมาก็พลิกแพลงให้เราพอใจเสีย เวลาเป็นสัจธรรม เวลาศีลก็บอกว่าศีลอย่างนั้นทำไม่ได้ ศีลอย่างนี้ทำไม่ได้ 

ศีลก็คือศีล อธิศีล เวลาศีล ความถูกต้องคือความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ไม่มี ความถูกต้องคือความถูกต้อง แต่ความถูกต้องด้วยอำนาจวาสนาของคนที่มันอ่อนแอ ความถูกต้องอย่างนั้นมันทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ เวลาทำความจริงขึ้นมา นั่นจริตนิสัยของเขา ถ้าจริตนิสัยของเขา ถ้าทำของเขาถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา อริยสัจมันมีหนึ่งเดียวไง ใครทำปฏิบัติอย่างไร อริยสัจต้องเข้าสู่อริยสัจนั้น ถ้าเข้าสู่อริยสัจนั้นไม่ได้ มันก็เลียบๆ เคียงๆ เลียบๆ เคียงๆ ทำไมมันเป็นไปได้ล่ะ 

สาวก สาวกะ เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีครูบาอาจารย์ของเราไง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่มธงชัยพระอรหันต์ ผ้ากาสาวพัสตร์ จีวร ไอ้เราก็ห่ม แล้วดูสิ เวลาพระที่เขาทำหยำเปเขาก็ห่มเหมือนกัน ทำไมจิตใจเขาไม่ดีขึ้นล่ะ ไอ้นี่มันเปลือกนอก คำว่า “เปลือกนอก” เพราะอะไร เพราะผลของวัฏฏะที่ว่าสิ่งที่มันจะทำลายล้าง มันก็กิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน ถ้าเวลาเราจะทำ มันก็น่ากลัวตรงนี้ ถ้าน่ากลัวตรงนี้ สิ่งที่จะมากรองก็คือศีล ศีลคือรั้วกั้น รั้วกั้นไม่ให้มันสะดวกสบายจนเกินไป เราเอารั้วรอบขอบชิดของมันไว้

แล้วเวลารั้วรอบขอบชิด เราพยายามทำความสงบใจของเราเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามา เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ สมาธิจับ ตัดด้วยปัญญา ท่านบอกสมาธิจับ แต่เราไม่มีอะไรไปจับต้องมันเลย เห็นไหม ดูสิ เวลาสัตว์ร้าย เราจะจับมัน เราต้องต้อนมันเข้าที่อับจนแล้วเราจับมันให้ได้ 

นี่ก็เหมือนกัน เราจะจับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว เวลาขี้นกอยู่บนหัวเรามองไม่เห็น เวลาขี้นกบนหัวคนอื่นเห็นไปหมดเลย เห็นความผิดของทุกคน เห็นความผิดของคนอื่นทั้งนั้น ไอ้ความผิดของตัวมันล้น ล้นจนออกมาเป็นความประพฤติปฏิบัติจนไปกระทบกระเทือนคนอื่น ไอ้ขี้ของตัวนี่ แต่ถ้ามีสติมีปัญญานะ ถ้ามีสติปัญญามันจะสงบตรงนี้ได้ ถ้ามีสติปัญญา ไอ้ขี้ของตัวต้องสงบระงับเข้ามาให้ได้ ถ้าสงบระงับเข้ามา มันมีความสุขไง มันมีความสุข ถ้ามีสติปัญญามากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น มีอำนาจวาสนานะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาใช้สติปัญญาของเรา ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกิเลสของตนแล้วต้อนกิเลสเข้ามุม ต้อนกิเลสให้สมาธิจับให้ได้ไง พอจับได้ ใช้ปัญญาตัดมันๆ แล้วปัญญาอย่างนั้นมันปัญญาอย่างไรล่ะ มันเป็นภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่ไง

ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่เขาเรียกโลกียปัญญา ปัญญาจากการศึกษา ปัญญาจากการค้นคว้า ปัญญาจากทางวิทยาศาสตร์มันไปสู่ทฤษฎี แล้วใครคิดนอกกรอบไม่ได้นะ ใครคิดนอกกรอบไม่ได้ เวลาถ้าเป็นภาวนามยปัญญามันเป็นปัญญาปัจจุบัน ปัญญาที่แพรวพราว หลวงตาท่านว่ามันเป็นดาบเพชรเลยล่ะ มันสามารถตัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนนี่แหละ ที่มันตัดกัน

ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่ธรรมะจะเกิดขึ้นต่อคนที่มีอำนาจวาสนาบารมี คนที่มีจุดยืน คนที่เข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ คนที่อ่อนแอที่เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประกาศไง นี่ไง หมามันห่มหนังเสือไง เวลามันเห่าออกมานี่เสียงหมาทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีธรรมะอยู่จริง เสือมันคำราม เวลาเสือมันคำราม สิ่งที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบันลือสีหนาทเป็นฤทธิ์ที่ประเสริฐที่สุด เวลาบันลือสีหนาท กิเลสมันหมอบตัวลง เวลาเสือคำรามในป่า สัตว์ป่าเงียบเลย มันกลัวเสือล่า ไอ้นี่ก็เหมือนกัน กิเลสๆ กิเลสจริงๆ มันก็กลัวธรรม กลัวสัจธรรม กลัวความจริง กลัวสัจจะของผู้มีคุณธรรม

เวลาเราตั้งสัจจะ ธุดงควัตรๆ ตั้งสัจจะ เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่ความจริง นั่นน่ะกิเลสมันจะกลัว พอเริ่มกลัวขึ้นมา เพราะกิเลสลูกหลานมันกลัว ปู่ย่าตายายมันพลิกแพลง เราต้องมีสติมากขึ้นๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ

ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะต้องมีพื้นฐาน ธรรมะต้องมีการกระทำ ธรรมะจริงๆ นะ แล้วเวลาเป็นจริงๆ เวลาสิ้นสุดกิเลสเป็นธรรมธาตุๆ สิ้นสุดมันมีอะไรเปรียบเทียบล่ะ มันไม่มีอะไรเปรียบเทียบหรอก แล้วพอไม่มีอะไรเปรียบเทียบ นี่ไง พอถึงแล้วมันพูดไม่ได้ๆ พูดไม่ได้ทำไมครูบาอาจารย์ท่านพูดได้ล่ะ ท่านพูดได้แต่คนที่เข้าใจได้

เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรม สนทนาธรรมก็เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อความเป็นจริงอันนั้น เพื่อตรวจสอบไง ไอ้ของเราถ้ามันมั่นคงอยู่แล้ว มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เวลามันเป็นนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านว่าของท่าน โลกธาตุนี่ไหวหมดเลย เวลามันเป็นจริงขึ้นมานี่โลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลย ไอ้เรานอนอยู่บ้าน อะไร เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อ๋อ! ไอ้นี่มันฤดูกาล แต่เวลาเป็นจริงๆ นะ โลกธาตุมันไหวเลย มันหวั่นไหวกลางหัวใจเลย มันเป็นความจริง มันขนาดนั้นน่ะ แล้วมันจะมีอะไรมหัศจรรย์ไปกว่านั้น 

นี่ไง ถ้าพูดถึงมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก อันนั้นชัดเจนอยู่แล้ว แต่เวลาในครอบครัวกรรมฐานเขายังสนทนาธรรมกัน เวลาตรวจสอบทดสอบ อันนั้นเพื่อความมั่นคงไง เพื่อหมู่คณะไง ดูสิ ที่หลวงตาท่านพูด ในครอบครัวกรรมฐานเขาจะรู้ว่าใครจริงหรือไม่จริง ใครมีหรือไม่มี ไอ้ไม่มีก็พูดไปไร้สาระ

นี่พูดถึงว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่ต้องให้มันเป็นสัจธรรมเป็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่ธรรมะของกิเลส ไม่ใช่ธรรมะปฏิรูปให้เราคิดเองเออเองเป็นภาษาของเราเอง เราต้องทำความจริงอย่างนี้ ทำความจริงของเราให้เป็นสัจธรรม เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้เข้าสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

เวลาหลวงตาท่านพูดของท่าน พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงกลางหัวใจ พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงหมด

แล้วรวมอย่างไร เออ! ท่านรวม เราก็รวม ถ้ารวม โลกก็ว่านี่สมาธิไง เวลาทำสมาธิสงบเข้ามาแล้วพุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงอยู่ที่ใจ แค่สมาธิ เขาบอกสมาธิเป็นตัวเป็นตน ก็ใช่ สมาธิเป็นตัวเป็นตน ถ้าไม่เป็นก็พูดได้แค่นี้ พูดได้แค่นี้มันไม่มีเหตุมีผลไง

ถ้ามีเหตุมีผลนะ มันต้องเป็นสมาธิขึ้นมาแล้วใช้ปัญญาขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ ตั้งแต่ถอดถอนสังโยชน์ ๓ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะอ่อนลง กามราคะปฏิฆะขาดไป รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ไอ้มานะ ๙ นั่นน่ะไม่มีทางรู้ได้ แล้วไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรด้วย มีแต่ทางตำราทางวิชาการทั้งนั้น ไม่มีความจริงอยู่ในหัวใจเลย ถ้ามีความจริงอยู่ในหัวใจแล้วมันเป็นจริงขึ้นมานะ พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงอย่างไร ไอ้ที่ว่ารวมๆ รวมแต่ปาก มันไม่มีข้อเท็จจริงหรอก ถ้ามีข้อเท็จจริงมันต้องเป็นข้อเท็จจริงอย่างนี้

นี่พูดถึงว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม แล้วธรรมะจริงๆ ด้วย ไม่ใช่ธรรมะเสแสร้ง ไม่ใช่ธรรมะหยิบยืมฉกฉวยใครมา มันเป็นธรรมกลางหัวใจนั้น มันถึงเป็นสัจธรรมอันนั้นเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนั้น เอวัง